ทฤษฎีการเรียนรู้ตามแนวคิดของ
เจโรม บรูเนอร์

ประวัติความเป็นมา
เจโรมบรูเนอร์
เจโรม
บรูเนอร์ เกิดในเมืองนิวยอร์ค ในปี ค.ศ. 1915 เป็นนักการศึกษา และนักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ซึ่งผลงานส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับผลงานของเปียเจต์บรูเนอร์มีความสนใจในเรื่องพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็ก
บรูเนอร์มีความเชื่อว่า “ การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสังคมที่ผู้เรียนจะต้องลงมือปฏิบัติและสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองทั้งนี้โดยมีพื้นฐานอยู่บนประสบการณ์หรือความรู้เดิม
และบรูเนอร์ได้เสนอแนวคิดเชิงทฤษฎีพัฒนาการทางคิดไว้ว่ามี 3 ลักษณะ ”
ขั้นที่ 1 Enactive representation (การแสดงความคิดด้วยการกระทำ)
แรกเกิด – 2 ขวบ ในวัยนี้ เด็กจะมีการพัฒนาการทางสติปัญญา
โดยใช้การกระทำเป็นการเรียนรู้หรือเรียกว่า Enactive mode เด็กจะใช้การสัมผัส เช่น จับต้องด้วยมือ ผลัก ดึง
สิ่งที่สำคัญเด็กจะต้องลงมือกระโดดด้วยตนเอง เช่น การเลียนแบบ
หรือการลงมือกระทำกับวัตถุสิ่งของต่างกับผู้ใหญ่ที่จะใช้ทักษะที่ซับซ้อน เช่น ขี่จักรยาน
ว่ายน้ำ เป็นต้น
ขั้นที่ 2 Iconic representation (ขั้นการคิดเริ่มจากสิ่งที่มองเห็น) ในพัฒนาทางขั้นนี้จะเป็นการใช้ความคิด
เด็กสามารถถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆที่เกิดจากการมองเห็น การสัมผัส โดยการนึกมโนภาพ
การสร้างจินตนาการ พัฒนาการนี้จะเพิ่มขึ้นตามอายุของเด็กยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งสร้างจินตนาการได้มากขึ้น
การเรียนรู้ในขั้นนี้เรียกว่า Iconic mode เด็กจะสามารถเรียนรู้โดยการใช้ภาพแทนการสัมผัสของจริงบรูเนอร์ได้เสนอแนะ
ให้นำโสตทัศนวัสดุมาใช้ในการสอน เช่น บัตรคำ ภาพนิ่ง เพื่อที่จะช่วยเสริมสร้างจินตนาการให้กับเด็ก
ขั้นที่ 3 Symbolic representation (ขั้นการคิดโดยใช้สัญลักษณ์หรือภาษา)ในพัฒนาการทางขั้นนี้
บรูเนอร์ถือว่าเป็นการพัฒนาการขั้นสูงสุดของความรู้ความเข้าใจ เช่น
การคิดเชิงเหตุผล หรือการแก้ปัญหา วิธีการเรียนรู้ขั้นนี้เรียกว่า Symbolicmode ซึ่งผู้เรียนจะใช้ในการเรียนได้เมื่อมีความเข้าใจในสิ่งที่เป็นนามธรรม
ข้อแตกต่างระหว่างทฤษฎีของเพียเจต์และบรูเนอร์
เพียเจต์ |
บรูเนอร์ |
- เพียเจต์มองเห็นว่าพัฒนาการทางสมองของเด็กมีขั้นตอน ซึ่งขึ้นอยู่กับอายุ กำหนดลงไปเลยว่าเด็กในวัยใดจะมีพัฒนาการทางสมองในเรื่องใด |
- บรูเนอร์ไม่ได้คำนึงถึงอายุ เห็นว่ากิจกรรมต่างๆที่เด็กทำอันเนื่องมาจากพัฒนาทางสมองที่เกิดในช่วงแรกเกิดของชีวิต คนสามารถนำไปใช้แก้ปัญหาในช่วงหลังๆของชีวิตได้อีกด้วย |
- เพียเจต์คำนึงถึงพัฒนาการทางสมองในแง่ของความสามารถในการกระทำสิ่งต่างๆในแต่ละวัย |
- บรูเนอร์คำนึงในแง่ของการกระบวนการที่ต่อเนื่องไปตลอดชีวิต |
- บรูเนอร์เน้นความสำคัญของสิ่งแวดล้อมว่าสิ่งแวดล้อมบางอย่างจะทำให้พัฒนาการทางสมองช้าลงหรือชะงักลงและสิ่งแวดล้อมบางอย่างจะช่วยให้พัฒนาการเป็นไปอย่างรวดเร็ว |
แนวทางในการจัดการเรียนการสอน
บรูเนอร์ได้กล่าวถึงทฤษฎีในการจัดการเรียนการสอนว่าควรประกอบด้วยลักษณะสำคัญ 4 ประการ คือ
1. ผู้เรียนต้องมีแรงจูงใจภายใน มีความอยากรู้ อยากเห็นสิ่งต่างๆรอบตัว
2. โครงสร้างของบทเรียนซึ่งต้องจัดให้เหมาะสมกับผู้เรียน
3. การจัดลำดับความยาก-ง่ายของบทเรียนโดยคำนึงถึงพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียน
4. การเสริมแรงของผู้เรียน
แนวคิดของบรูเนอร์ที่มีอิทธิพลต่อการศึกษา
ขั้นพัฒนาการต่างๆ
ที่บรูเนอร์เสนอไว้ได้นำไปสู่แนวความคิดในการจัดการศึกษาในระดับต่างๆ ดังนี้
-
ระดับอนุบาลและระดับประถมต้น
บรูเนอร์เห็นว่าเด็กวัยอนุบาลอยู่ในระดับ Iconic
representation ซึ่งการเรียนรู้ต่าง ๆ อยู่ในลักษณะของการกระทำ
โดยผ่านประสบการณ์ที่ได้พบเห็นและการรับรู้ต่าง ๆ นอกจากนี้เขากล่าวว่า
เด็กวัยนี้ไม่สามารถรออะไรได้นาน ๆ
เราควรสนองความพึงพอใจให้กับเด็กอย่างทันท่วงทีที่ทำงานแต่ละครั้งเสร็จ
บรูเนอร์ยังได้เสนออีกว่า ในการสอนเด็กระดับนี้
ควรให้มีบรรยากาศของความสนุกสนาน ผ่อนปรนไม่ตึงเครียด
และควรเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความสามารถต่าง ๆเพื่อก่อให้เกิดความมั่นใจ
เด็กประถมต้นยังอยู่ในวัย Iconic representation เด็กวัยนี้สามารถสร้างภาพในใจได้ บรูเนอร์ได้นำการทดลองของเปียเจท์เกี่ยวกับการรินน้ำมาใช้
เพื่อแสดงให้เห็นว่าเด็กสามารถสร้างภาพในใจได้
และสามารถที่จะกระตุ้นให้อธิบายความคิดออกมาได้ ครั้งแรกบรูเนอร์ให้เด็กดูแก้ว 2
ใบ ที่ใส่น้ำไว้เท่ากัน พร้อมกับแก้วเปล่าอีก 2 ใบ ใบหนึ่งมีขนาดใหญ่
อีกใบหนึ่งเล็กยาว ต่อจากนั้นเขารินน้ำจากแก้วทั้งสองใบใส่แก้วเปล่าทั้งสองใบโดยไม่ให้เด็กเห็นและให้เด็กลองคิดดูว่าระดับน้ำในแก้ว
2 ใบนั้นจะเท่ากันหรือต่างกัน ผลปรากฏว่าเด็กส่วนใหญ่ทำนายได้ถูกต้อง
แต่เมื่อบรูเนอร์ให้คิดว่าถ้าจะรินน้ำจากแก้ว 2 ใบนี้กลับไปสู่แก้วเดิม 2
ใบที่เท่ากัน ระดับจะเป็นอย่างไร เด็กตอบไม่ถูก จากการทดลองของบรูเนอร์สรุปได้ว่า
เราสามารถสร้างให้เด็กเกิดconcept เกี่ยวกับ conservation ได้เร็วขึ้นหน่อย แต่ไม่สามารถ ที่จะนำไปใช้ในสถานการณ์อื่น ๆ ได้
ความคิดของบรูเนอร์เกี่ยวกับเด็กวัยนี้ คือ ยัง ต้องการการสนองความพึงพอใจอย่างทันท่วงทีภายหลังที่ทำงานเสร็จ
และบรรยากาศที่ผ่อนปรนไม่ตรึงเครียดเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
-
ระดับประถมปลาย
บรูเนอร์
กล่าวว่า เด็กในระดับประถมปลายมีพัฒนาจาก Iconic
representation ไป สู่ Symbolic
representation ซึ่งสิ่งที่บรูเนอร์เน้นนี้คล้ายคลึงกับแนวความคิดของเปียเจท์ในหลักการทั่วไป
แต่ต่างกันในเรื่องต่อไปนี้
“พัฒนาการทางสติปัญญา
จะแสดงให้เห็นจากการที่เด็กสามารถเลือกจากตัวเลือกหลาย ๆ
ตัวในเวลาเดียวกันและสามารถแบ่งเวลาและความสนใจได้อย่างเหมาะสมกับตัวเลือกนั้น
ๆ”
-
ระดับมัธยมศึกษา
การใช้สัญลักษณ์ (Symbolic representation) ของเด็กวัยนี้เป็นไปอย่างกว้างขวางขึ้น
ครูมีวิธีช่วยให้พัฒนาขึ้นไปอีกโดยกระตุ้นให้ใช้ discovery approach โดยเน้นความเข้า ใจใน concept และสิ่งที่เป็นนามธรรมต่าง ๆ
-
ระดับอนุบาลและระดับประถมต้น
Herbert Ginsburg และ Sylvia
Opper ได้เสนอข้อสรุปในการที่จะนำทฤษฎีของเปียเจท์ไปใช้ในการสอนไว้ว่า
สิ่งสำคัญที่สุดที่นักการศึกษาจะได้มาจากงานของเปียเจท์และนำ ไปใช้ในห้องเรียนได้ก็คือ เด็ก ๆ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเล็ก
ๆ) จะเรียนรู้ได้ดีที่สุดจากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็น “รูปธรรม” อย่างไรก็ดี
วิธีปฏิบัติเพื่อเป็นการสนับสนุนกิจกรรมที่เกี่ยวกับสิ่งที่เป็นรูปธรรมจะขึ้นอยู่กับว่า
ท่านมีความรู้สึกเกี่ยวกับguided ex-perience ที่ตรงกันข้ามกับ natural
development อย่างไร
ถ้าท่านเห็นด้วยกับนักจิตวิทยาและนักการศึกษาหลายคนในอเมริกาที่จะ “เร่ง” การเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ท่านอาจจะจัดการช่วยเหลือให้เด็กวัยนี้เข้าใจ concept ของ conservation แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าท่านเห็นพ้องด้วยกับความคิดของPiaget ว่า วิธีการที่ดีกว่าคือ การปล่อยให้เด็กได้รับประสบการณ์ด้วยวิธีการของเขาเอง และตามความเหมาะสมกับวัยของเขาแล้วละก็
ท่านควรจะเตรียมสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับเขา
เพื่อปล่อยให้เขาได้มีกิจกรรมเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นรูปธรรมให้มากที่สุด
แต่พยายามให้น้อยที่สุดที่จะชี้ให้นักเรียนเห็นถึงวิธีสร้างประสบการณ์เหล่านั้น
ในการที่ท่านคิดเพื่อจะเลือกหาคำตอบสำหรับคำถามข้างต้นนี้
ขอให้พิจารณาผลจากการศึกษาของ J. Smedslund (1961) เขาพบว่าเป็นไปได้ที่จะเร่งพัฒนาการ concept เกี่ยวกับ conservation เขาทดลองโดยการนำดินเหนียวมา
2 ก้อน ทำก้อนหนึ่งให้แบน และแล้วเอาดินเหนียวออกจากก้อนนี้เสียบ้าง
เพื่อให้เล็กกว่าอีกก้อนหนึ่ง วิธีนี้จะทำให้เด็กหยุดและคิด เด็กกลุ่มทดลองเข้าใจ concept ของขนาดได้เร็วกว่ากลุ่มควบคุม
แต่เมื่อทั้งสองกลุ่มถูกตั้งคำถามเพื่อให้อธิบายปัญหาการคงตัวของน้ำหนัก
นักเรียนในกลุ่มควบคุมซึ่งได้รับconcept ตามวิธีธรรมชาติ
สามารถหาเหตุผลมาอธิบายได้มากกว่านักเรียนกลุ่มทดลอง
ผลจากการทดลองนี้สนับสนุนความคิดของ Piaget ว่า
การบังคับให้เด็กเรียนจะทำให้เด็กเข้าใจเพียงผิดเผินเท่านั้น
แต่ความเข้าใจที่แท้จริงจะมีขึ้นได้ต่อเมื่อเด็กมีพัฒนาการทาง ด้านความเข้าใจด้วยตนเอง
โรงเรียนที่ดีจะต้องสนับสนุนกิจกรรมของเด็ก รวมทั้งการสำรวจและการได้ลงมือกระทำของเขาด้วย
ถ้าครูพยายามที่จะใช้วิธีลัดโดยวิธีบอก หรือป้อนความรู้ให้แก่เด็กด้วยการพูดอธิบายให้ฟัง
ผลก็คือเด็กจะเรียนรู้อย่างผิวเผินเท่านั้น แต่การจัดกิจกรรมขึ้นในห้องเรียนครูจะสามารถยั่วยุให้เด็กใช้ความสามารถที่มีในตัวให้เกิดการเรียนรู้
และทำให้เด็กได้มีความเข้าใจโลกรอบ ๆ ตัวเขาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
งานที่สำคัญของครูก็คือ การเตรียมอุปกรณ์ที่น่าสนใจต่าง ๆ
ที่จะยั่วยุให้เด็กได้ใช้ความสามารถที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวให้เป็นประโยชน์ในการเรียนรู้
ครูไม่ควรมุ่งแต่จะสอน แต่ควรสนับสนุนให้เด็กเรียนโดยการได้ ลงมือกระทำด้วยตนเอง
ได้หยิบโน่นจับนี่ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนด้วยตนเอง
ทั้ง Piaget และ Bruner แนะว่า ในการสอนระดับอนุบาลนั้น ครูจะต้อง สนองความต้องการของเด็กอย่างทันท่วงทีและให้มีบรรยากาศที่ผ่อนปรนไม่ตึงเครียด
เปิดโอกาสให้เด็กได้ลองทำสิ่งต่าง ๆ ถ้าเด็กได้รับการสอนอย่างเป็นพิธีรีตองเกินไป (formal instruction) จะทำให้เด็กเกิดความรู้สึกกลัวการตอบผิด
และจะทำให้เกิดความตึงเครียดได้ง่ายกว่าการสอนในบรรยากาศที่เป็นกันเอง
สรุป
บรูเนอร์มีความเห็นว่าคนทุกคนจะมีพัฒนาการทางความรู้ความเข้าใจโดยผ่านกระบวนการที่เรียกว่า acting,
imaging และsymbolizing เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องไปตลอดชีวิตมิใช่ว่าเกิดขึ้นเพียงช่วงใดช่วงหนึ่งในระยะแรกๆของชีวิตเท่านั้น